InsurTech : การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี กับการประกันภัย(รถยนต์)
ในยุคน้ำมันแพง
จากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายขึ้นตามลำดับ ทำให้บริษัทเอกชนส่วนใหญ่เริ่มให้พนักงานทำงานกันแทบจะเต็มรูปแบบเหมือนเดิม ประกอบกับ โรงเรียนก็ได้กลับมาเปิดเรียนกันแล้ว การใช้รถใช้ถนนในปัจจุบันจึงมีความหนาแน่นขึ้น และในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ ใครที่ยัง WFH สลับกับเข้าออฟฟิศบางวันคงรู้สึกดีไม่น้อยเพราะสามารถที่จะลดการใช้รถ จำกัดการใช้น้ำมัน ลงกันได้ด้วย
ในขณะที่การใช้ชีวิตของคนทำงานได้เปลี่ยนไป การเดินทางในแต่ละวันก็ลดลง จึงทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มมองหาประกันภัยที่ตอบโจทย์ แต่ยังคงได้รับความคุ้มค่า และยังอุ่นใจกับความคุ้มครองที่ครอบคลุมได้อย่างไร้กังวล
ในขณะที่การใช้ชีวิตของคนทำงานได้เปลี่ยนไป การเดินทางในแต่ละวันก็ลดลง จึงทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มมองหาประกันภัยที่ตอบโจทย์ แต่ยังคงได้รับความคุ้มค่า และยังอุ่นใจกับความคุ้มครองที่ครอบคลุมได้อย่างไร้กังวล
เหล่าบริษัทประกันภัยต่างๆ จึงได้มีการนำผลิตภัณฑ์ประกันภัย มาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยี หรือ InsurTech จนกลายมาเป็น Usage-based Insurance ผลิตภัณฑ์ประกันภัยตามปริมาณ/พฤติกรรมการขับขี่การใช้งาน ผ่าน อุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้ติดรถ เช่น OBD II (On-Board Diagnostic) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ IoT ที่สามารถตรวจจับพิกัดสถานที่อยู่ จับระยะทาง รวมถึงการเก็บพฤติกรรมการขับขี่ในเชิงลึก ช่วยให้สามารถคำนวณเบี้ยประกันได้อย่างถูกต้องแม่นยำตามการใช้งานจริง ขับน้อย วิ่งน้อย ความเสี่ยงต่ำ เบี้ยประกันก็สามารถลดลงได้ ในทำนองเดียวกัน ขับมาก ขับเสี่ยง สายมุด สายดึง มีความเสี่ยงสูง ก็ควรต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการนำแอปพลิเคชันมาใช้ร่วมกันเพื่อทำหน้าที่ส่งพิกัด พร้อมแจ้งข้อมูลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพื่อเพิ่มความสะดวก และง่ายต่อการเคลมประกันภัยได้อย่างรวดเร็ว
จากตัวอย่างของการนำ InsurTech มาผสานกับนวัตกรรมต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่า การคิดค้น หรือการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ล้วนแล้วแต่ทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้น มีทางเลือกที่มากยิ่งขึ้น และสามารถตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้มากขึ้นอีกด้วย |